ขอยืมรูปจาก Live On Demand นะครับ ข้างในห้ามถ่ายรูป
จากนั้นไม่นาน สาว ๆ ก็โผล่ออกมา สำหรับสเตจที่ดูวันนั้น คือ Team Kenkyuusei 7th stage “Pajamas Drive” ซึ่งก็เปิดสเตจด้วยเพลง Shonichi ซึ่งสำหรับรายละเอียดเซ็ทลิสท์ แนะนำให้อ่านได้จากบล็อกของคุณ bossMin ครับ ผมก็นั่งอ่านบทความแก บิ้วท์อารมณ์ก่อนเข้าไปดูเหมือนกัน
สำหรับตัวผมเอง สารภาพตามตรงว่า ผมไม่รู้จักเคงคิวเซย์คนไหนเลย นอกจาก Mitsumune Kaoru ที่พอได้เลื่อนขั้นเข้าทีม K ปีที่แล้ว แล้วก็ขอแกรดเลย เพราะปัญหาสุขภาพ และ LOD ของสเตจเองก็ไม่เคยดูจบ เพราะผมรู้สึกว่ามันน่าเบื่อมาก ๆ แต่พอได้มาดูสเตจแบบสด ๆ เห็นสาว ๆ ตัวเป็น ๆ นี้แบบว่าตื่นเต้น แถมเพลง Shonichi ก็เป็นเพลงโปรดผม ก็เลยคล้อยตามไปกับสาว ๆ บนเวทีได้ง่าย
สำหรับคนที่ผมพอจำได้บนเวทีมี Hirata Rina หรือฮิลลารี่ เพราะคุณ bossMin แกเอาภาพเธอมาปิดบล็อกเรื่อง Pajamas Drive พอดี ส่วนอีกคนคือ Nishino Miki หรือมิกิจัง ที่ตอนแรกผมก็ไม่รู้จักหรอกว่าใคร แต่เห็นว่าเต้นเก่งและแรงมาก แถมไว้ถักผมเปียไว้ข้างหน้า (สเปก ?) เด่นกว่าใครเพื่อน
สิ่งที่ผมว่า LOD นั้นสู้ไม่ได้เลย คือเรื่องของบรรยากาศ ซึ่งเชื่อว่าสเตจทุกรอบมันจะไม่เหมือนกันเลย ถึงแม้เซ็ทลิสท์มันจะเหมือนกัน เช่น เวลาที่ Iwatate Saho แนะนำตัว เธอจะพูดว่า “ยะโฮ่” แล้วให้คนพูดตาม แล้วก็พูด “ซะโฮ” ที่เป็นชื่อเล่นเธอให้พูดตามอีกที ในรอบที่ผมดู เข้าใจว่าแฟน ๆ เธอมากันเยอะ เธอเลยโดนแกล้ง โดยการที่แฟน ๆ เธอจะแย่งเธอพูดชื่อเล่นของเธอก่อน จนเธอวิ้งก์ใส่ก็แล้ว ส่งจูบก็แล้ว จนต้องจุ๊ปากบอก แฟน ๆ ถึงจะเลิกแกล้งกัน
คือฉากนี้ใน LOD จะเห็นเธอโดนแกล้งแป๊บเดียว แต่ในความเป็นจริง เธอโดนแกล้งอยู่นานพอสมควร ซึ่งน่าจะโดนตัดออกใน LOD เราเลยอดเห็นหน้าตาลำบากใจของไอดอลกัน พวกคนในสเตจได้เห็นกันอย่างเดียว
ผมก็นั่งดูไปเรื่อย ๆ แต่เนื่องจากพวกผมใช้เวลามากกว่า 70% ในญี่ปุ่นไปกับการเดิน พอให้นั่งนิ่ง ๆ ความเหนื่อยล้าก็เริ่มคืบคลานมาหา ผมก็เริ่มมีสติหลุดไปบ้าง แต่เห็นสาว ๆ บนเวทีส่งวิ้งก์มาปลุก ก็ลืมตาขึ้นมาดูต่อ ส่วนน้องผมที่มาด้วย นั่งก้มหัวคาราวะสาว ๆ ไปแล้ว แต่ก็โดนการควงแท่งไฟของโอตะคนข้าง ๆ กระแทกจนตื่นขึ้นมา
พอถึงช่วงการแสดงรอบหลักจบ ก็จะมีเสียงใครบางคนตะโกนขอ Encore ผมก็ตะโกนตามเขาไป จนสาว ๆ เปลี่ยนชุดใหม่ออกมาร้อง Let’s Go Kenkyusei! และเพลงอื่น ๆ ไปอีก 2 – 3 เพลง และจบด้วยเพลง Tenohira ga Kataru Koto ที่เป็นเพลงช่วยผู้ประสบภัยซึนามิที่ญี่ปุ่น ก่อนที่สาว ๆ จะขอลาไปเตรียมแถวไฮทัชข้างนอก โดยให้เราดู MV ของเพลง Tenohira ga Kataru Koto รอไปพล่าง ๆ ก่อน (ผมได้ดู MV ตัวนี้ ก่อนเขาโพสบน Youtube วันนึง)
จากนั้นทีมงานก็จะมาเชิญคนดูออกไปข้างนอก ซึ่งสาว ๆ ก็จะมารอไฮทัชอยู่แล้ว ผมก็ไฮทัชกับทุกคนพร้อมกับพูด Thank you ไปด้วย ระหว่างไฮทัช บางคนก็ยกมือมาให้เราแปะเฉย ๆ บางคนเอามือมาแปะ บางคนก็ประสานมือกันเลยทีเดียว (ตกปลา ?) ผมก็จำอะไรไม่ได้ นอกจากตัวจริงทุกคนน่ารักมากและมือนิ่มมาก ก่อนที่จะเข้าคิวเอาของที่ฝากและเดินไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งทำให้ผมพลาดอีกขั้นตอนนึงของการดูสเตจ นั้นคือการบ๊ายบายกับสาว ๆ ตอนจบนั้นเอง
เรื่องนี้ทำผมกินไม่ได้นอนไม่หลับไปพักใหญ่ แม้กระทั่งตอนที่เขียนก็ยังรู้สึกเจ็บใจตัวเองไม่หาย สงสัยที่จะเป็นลางให้กลับไปจัดรอบล้างตากันอีกครั้งนึงก็เป็นได้
ส่วนน้องผม ที่โดนผมลากไปดู ก็วิจารณ์การแสดงเหมือนกับคนธรรมดา เช่น “มีกันเยอะขนาดนี้ คนแถวหลัง ๆ ก็ไม่เด่นน่ะสิ” “ทำไมตอนไฮทัช สาว ๆ ประสานมือ แล้วทีมงานต้องลากออกไปด้วย ไม่คุยกันก่อนเหรอ” แต่สิ่งที่น้องผมหวาดกลัวที่สุด คือเหล่าโอตะรุ่นพ่อหลาย ๆ คน ที่มาตะโกนมิกิจัง ๆ ประมาณว่ามาเต๊าะเด็ก ๆ รุ่นลูกตัวเองนี้นะ อะไรประมาณนี้
อย่างไรก็ตาม น้องผมประทับใจยัยเปียหน้าหรือมิกิจังมาก “ดูสิยัยนี้เต้นแรงอยู่คนเดียว คนอื่นเต้นปวกเปียกกันมากเลย” “เพลงเดียวเหงื่อก็ออกแล้ว จริงจังมากเลยนะ” “จ้างร้อยเดียว เต้นอย่างกับจ้างล้านนึง” แต่สรุปแล้วก็ “เป็นพันเยนที่คุ้มค่ามากเลยนะ ดีกว่าไปดู Gundam กับ TOKYO SKYTREE อีก”
เนื่องจากยังอารมณ์ค้างกับการดูสเตจนี้อยู่ ผมเลยตัดสินใจว่าจะหาซื้อแผ่นเพลงของสเตจนี้เก็บไว้ฟัง พอดีกับว่าน้องผมอยากได้ซองใส่ของลาย Hello Kitty ที่จะแจกให้กับนักท่องเที่ยวที่ห้างอิเซตัน เลยตัดสินใจนั่งรถไฟไปชินจูกุอีกทีนึง ซึ่งผมก็ไปซื้อแผ่นที่ HMV สาขา LUMINE EST เหมือนเดิม ก่อนที่จะเดินไปทำบัตร Guest Card และเอาซองใส่ของ Hello Kitty ที่อิเซตัน
จากนั้นก็หาข้าวกินแถว ๆ ชินจูกุ ซึ่งร้านทุกร้านคนแน่นเยียด เนื่องจากใกล้เวลาที่จะต้องไปสนามบิน เลยนั่งรถไฟกลับมากินร้าน SUKIYA แถวโรงแรมแทน ผมสั่งชุดข้าวหน้าเนื้อแกงกะหรี่ ส่วนน้องผมสั่งข้าวแกงกะหรี่ไก่คาราเกะ รสชาดอร่อยกว่าที่คิดไว้มาก จนทำให้สงสัยว่า ทำไมไม่ได้เข้ามากินที่ร้านนี้ ทั้ง ๆ ที่ผ่านอยู่ทุกวัน
พอทานเสร็จก็เดินกลับโรงแรม ผ่านสวนในโรงแรมเป็นครั้งสุดท้าย
พอมาถึงเอาของที่ซื้อมาวันนี้ทั้งหมด แพ็คลงกระเป๋า และขอตาชั่งจากโรงแรมมาชั่งว่าน้ำหนักกระเป๋าเกินหรือเปล่า โรงแรมยกตาชั่งตัวใหญ่มาให้ชั่งเลย
เสร็จจากเรื่องกระเป๋า ยังมีเวลาเหลืออยู่นิดหน่อย เลยเอาคูปองแลกเครื่องดื่มที่โรงแรมให้มา ไปแลกเครื่องดื่มที่บาร์ของโรงแรม เครื่องดื่มที่แลกได้มีตั้งแต่ซอฟต์ดริงก์ไล่ไปถึงเหล้าต่าง ๆ พวกผมเลยเอาจิงเจอร์เอลใส่น้ำแข็งเย็น ๆ มากินกัน
พอถึงเวลา ผมก็นั่ง shuttle bus ไปยังสนามบินฮาเนดะ โชคดีมากที่โรงแรมที่ผมอยู่ เป็นย่านที่อยู่ใกล้กับสนามบินพอดี ประมาณครึ่งชม.ก็ถึงสนามบินแล้ว บ๊ายบายชินางาวะ
เนื่องจากบินไฟลท์กลางคืน คนเลยน้อยหน่อย รอบนี้มีเรื่องตื่นเต้นนิดหน่อย คือผมทำตั๋วเครื่องบินหล่นตอนถอดเสื้อเอาเข้าเครื่องตรวจ เกือบไม่ได้กลับแล้ว
เหลือเวลาเยอะพอสมควร เลยเดินเล่นใน Duty free จน Duty free ปิด ผมชอบสนามบินฮาเนดะมาก เพราะประตูที่ขึ้นเครื่องกับร้าน Duty free นี้อยู่กันใกล้มาก ๆ เลย
ตรงที่นั่งจะมีทีวีจากสปอนเซอร์เจ้าต่าง ๆ มาเปิดให้เราดู แต่ของ LG นี้ดีหน่อย มีที่ชาร์จมือถือให้ด้วย เจ้าอื่นไม่มี แล้วก็ได้เวลาขึ้นเครื่อง JAL เหมือนเดิม
อาหารมื้อหลักบนเครื่อง รอบนี้เสริฟข้าวกล่องญี่ปุ่น NORIBEN ที่ทาง JAL ร่วมกับร้าน Soup Stock Tokyo จัดทำขึ้นมา กล่องที่ใส่ข้าว เป็นกล่องไม้จริง ๆ ด้วย ผมมาหาข้อมูลทีหลังพบว่า ข้าวกล่องนี้จะเสริฟแค่เฉพาะบางเที่ยวบินที่มาจากฮาเนดะเท่านั้น นับว่าเป็นโชคดีที่ได้กิน
เปิดมาข้างในก็จะมีปลาแซลมอนย่าง ไข่ม้วน ชิกุวะ แล้วก็เครื่องเคียงต่าง ๆ บนข้าวราดน้ำส้มสายชู อารมณ์ข้าวในซูชิ รสชาดก็จัดว่าดีถ้าเทียบกับอาหารบนเครื่องบินมื้อขามา ซึ่งพอทานมื้อนี้เสร็จไม่นาน เครื่องบินก็ลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ ปิดฉากการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งนี้ของผม
ขอขอบคุณทุกคนที่ได้ตามอ่านกันมาโดยตลอดนะครับ ตัวผมเองก็ภาวนาว่า ขอให้มีโอกาสกลับไปที่นี้อีกครั้งหนึ่ง จะได้มีเรื่องกลับมาเขียนให้อ่านกันอีกครับ
น่าเที่ยวมากครับ
Pingback: เที่ยวญี่ปุ่น 2 : ท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียว | Silhouette Garden