หลังจากที่ผมนั่งรถไฟกลับมายังสถานี Aomori จาก Hirosaki แล้ว ยังพอมีเวลาอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะนั่งรถไฟที่จองไว้กลับโตเกียว ผมเลยถือโอกาสเดินดูสถานที่น่าสนใจบริเวณรอบ ๆ สถานีครับ
ผมเดินจากสถานีไปทางบริเวณฝั่งของเมือง ก็เจอ A-FACTORY เป็นศูนย์รวมร้านอาหารและสินค้าท้องถิ่นต่าง ๆ ของเมือง Aomori นอกจากนี้ภายในยังมีโรงผลิตไซเดอร์ที่ใช้แอปเปิ้ลจาก Aomori ที่เปิดให้ชมขั้นตอนการผลิตและชิมอีกด้วย
ในบริเวณเดียวกันยังเป็นที่อยู่ของ Nebuta House Warasse พิพิธภัณฑ์เทศกาล Nebuta ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงของ Aomori ภายในมีการจัดแสดงโคมไฟต่าง ๆ รวมทั้งโคมไฟที่เคยไปเดินขบวนงานเทศกาลมาแล้ว
ถัดจาก A-FACTORY ก็คือสะพาน Aomori Bay Bridge เป็นสะพานขึงที่พาดผ่านบริเวณริมฝั่งของเมือง ตัวสะพานนอกจากจะออกแบบเพื่อการจราจรแล้ว ยังถูกออกแบบให้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองอีกด้วย โดยเสาและรูปแบบการขึงเคเบิ้ลนั้นจะมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมคล้ายตัว A ซึ่งเป็นตัวอักษรตัวแรกของชื่อเมือง
ไกลออกไปจากบริเวณสะพาน จะเป็นบริเวณที่จอดเรือข้ามฝาก Hakkoda-maru ซึ่งในอดีตนั้นถูกใช้เพื่อบรรทุกผู้คน สิ่งของ และขบวนรถไฟ เดินทางระหว่างเมือง Aomori บนเกาะ Honshu และเมือง Hakkodate บนเกาะ Hokkaido
เนื่องจากปัจจุบันนี้มีอุโมงใต้ทะเล Seikan เชื่อมต่อระหว่างสองเกาะนี้แล้ว เรือ Hakkoda-maru จึงถูกปลดระวางแล้วนำไปทำเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อเล่าถึงประวัติของตัวเรือเอง
ผมเดินถ่ายรูปอยู่สักพักก็ใกล้เวลาที่จะต้องขึ้นรถไฟที่จองแล้ว ก็เดินกลับไปยังสถานี Aomori โดยไม่ลืมที่จะแลกของขวัญ JR East Pass ที่ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวที่อยู่ในตัวสถานีรถบัสที่อยู่ใกล้ ๆ กันก่อน
การเดินทางขากลับเริ่มต้นจากการนั่งรถไฟสาย Super Hakucho ไปลงสถานี Shin Aomori เพื่อต่อรถไฟ Hayabusa ไปยังโตเกียว
พอมาถึงสถานี Shin Aomori แล้ว ผมก็ต้องรีบขึ้นยังชานชาลาของรถไฟชินคันเซ็นที่อยู่ชั้นบนของสถานี เพราะใกล้เวลาที่รถไฟจะออกแล้ว
ด้วยความที่ตอนที่ขึ้นรถไฟชินคันเซ็นคราวที่แล้ว ผมยังไม่ได้มีโอกาสลองประสบการณ์การกินข้าวกล่องบนรถไฟ ก็เลยถือโอกาสตอนอยู่ที่สถานี Shin Aomori แวะซื้อข้าวกล่องที่ดูน่าสนใจมาทาน
จากการเลือกอย่างรวดเร็ว ผมก็ได้ข้าวกล่อง Hakkoda Ushi Shigureni Bento มา เพื่อเป็นการชดเชยที่ไม่ได้กินร้านเนื้อย่างตามที่ตั้งใจที่ Iwate
ข้าวกล่องนี้ประกอบไปด้วยเนื้อ Hakkoda ที่เป็นเนื้อวัวขึ้นชื่อทางแทบ Aomori ต้มแบบ shigure ซึ่งเป็นการต้มด้วยซอสโชยุและขิง ราดข้าวที่โรยด้วยไข่ฝอย และเครื่องเคียงไว้กินคู่กัน
รสชาติที่ว่าโอเคอยู่ เนื้อนุ่มดี แต่ติดว่ามันเย็น รสชาติมันเลยยังไปได้ไม่สุด ถ้าได้อุ่นเพิ่มน่าจะอร่อยเหาะ
ตอนรถไฟจะเข้าสถานี Omiya ก็ผ่านชั้นบนสุดของ The Railway Museum ด้วย
ผมนั่งอยู่บนรถไฟเกือบ 4 ชั่วโมง ก็มาถึงสถานี Ueno ซึ่งผมก็ลงจากรถไฟที่สถานีเพื่อต่อรถไฟใต้ดินไปยังสถานี Minami Senju
พอถึง Minami Senju แล้ว ผมก็เดินไปเช็คอินที่โรงแรมใหม่อีกครั้ง ก่อนที่จะออกจากโรงแรมเพื่อไปยังเป้าหมายถัดไป
สำหรับทริปเที่ยวโทโฮคุของผมก็จบลงแล้ว ตอนหน้า ผมจะเขียนถึงการซื้อตั๋วคอนเสิร์ตและประสบการณ์ชมละครเวทีแบบอินดี้กัน อย่าลืมติดตามอ่านกันนะครับ
Pingback: เที่ยวญี่ปุ่น 3 : เดินชมพิพิธภัณฑ์รถไฟ The Railway Museum ของ JR East ตอนที่ 2 | Silhouette Garden