เนื่องจากเดือนที่แล้ว ผมได้มีโอกาสติดสอยห้อยตามที่บ้านไปประเทศญี่ปุ่นแบบฉุกละหุก ก็เลยเอาประสบการณ์ที่ไปมาเขียนให้ได้อ่านกัน เริ่มต้นจากวันแรกที่ไปก่อน
เริ่มต้นการเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิบ้านเรา เกตที่ขึ้นเครื่องนี้แบบว่าไกลและเปลียวมาก แถมยังไม่มีสัญญาณ Wi-Fi ให้เล่นอีก ถึงแม้จะได้ Wi-Fi ฟรีที่สนามบินมาเล่นแล้วก็ตาม
สำหรับเครื่องบินที่จะขึ้นตอนขาไป เป็น Boeing รุ่น 777-300ER จากสายการบิน JAL ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่มาสุวรรณภูมิแล้วได้ขึ้นเครื่องบิน ทุกทีไปมีแต่ติดต่อเรื่องงานกับ Duty Free อย่างเดียวเลย
พอเครื่องขึ้นได้สักพัก แอร์ก็เริ่มเสริฟของว่าง เลยจัด Sky Time ซึ่งเป็นเครื่องดื่มรสเลม่อนที่ขึ้นชื่อของทาง JAL มาลองดู จิบที่เดียว สมองตื่นเลย
คอไวน์ต้องไม่พลาดไวน์แดงกับไวน์ขาวซึ่งเป็นไวน์ที่ทาง JAL คัดสรรทำกันเองเลยทีเดียว เวลาเสริฟก็จะเสริฟให้ทั้งขวดไปรินเองเลย แต่เนื่องจากผมดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ ก็เลยผ่านไป
2 ชม.ก่อนเครื่องลง อาหารจานหลักก็ถูกนำมาเสริฟ รสชาดก็กินได้ แต่โยเกิร์ตนี้ตัวแสบมาก ทำเอาท้องเสียไปวันสองวัน
บนเครื่องมีระบบความบันเทิงมาให้ แต่ไม่ค่อยมีอะไรน่าดูกับฟังเท่าไร คือมีหนังใหม่ มีเพลงให้ฟัง แต่ให้อารมณ์เหมือนฟังรายการวิทยุ ยังดีมีรวมฮิต NMB48 ให้ฟังแบบไม่มีเสียง DJ รอดไป
ลิสต์เพลง NMB48 นี้ทันสมัยมาก มีให้ฟังตั้งแแต่ซิงเกิ้ลแรก ๆ จนเพลงล่าสุดเลย
ส่วนหูฟัง ที่ JAL ใช้บริการหูฟัง Sony รุ่น MDR-5055 ซึ่งเข้าใจว่าเป็นรุ่นที่ทาง Sony ทำให้ JAL โดยเฉพาะ เสียงก็พอไปวัดไปวาได้ แต่ชอบดีไซน์มัน คือนึกว่ามันจะพังง่าย แต่จับดัดเล่นดูก็แข็งแรงกว่าที่คิด
เครื่องลงที่นาริตะแล้ว เห็นสภาพหลังฝนตกอยู่ นึกในใจว่าทริปนี้อากาศอาจไม่เป็นใจแน่ ๆ
หลังจากผ่านด่าน และรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผ่านมาได้แบบไม่มีปัญหาอะไรเลย ก็มายืนรอซื้อตั๋ว N’EX หรือ Narita Express ที่เคาท์เตอร์ของ JR East
ถึงแม้จะเป็นเวลาเช้าตรู แต่ก็มีชาวต่างชาติเข้าคิวกันเยอะมาก เพราะต้องเอาตั๋วมาแลก JR Pass กัน ส่วนผมนี้ยืนรอเพื่อซื้อ N’EX + Suica ซึ่งเป็นแพ็คเกจตั๋ว N’EX ขายคู่กับบัตรเงินสด Suica (อารมณ์บัตร Rabbit บ้านเรา) มูลค่า 1,500 เยน ในราคาพิเศษสำหรับชาวต่างชาติเท่านั้น ซึ่งแนะนำมากสำหรับคนที่ไปญี่ปุ่นจังหวัดใกล้ ๆ ที่ไม่ต้องใช้ชินคันเซ็น
สำหรับคนที่ซื้อแล้ว เวลาขึ้น N’EX ให้เอาตั๋วของ N’EX สอดเข้าที่ประตูนะครับ อย่าเอา Suica ไปแปะ ไม่งั้นจะได้เสียค่าตั๋ว N’EX ฟรี
ว่าแล้วก็มายืนรอ Narita Express
อ่ะมาแล้ว แต่ไม่ใช่คันที่จะไป
สำหรับการขึ้น N’EX จะต้องเช็คให้ดีว่าเราต้องขึ้น N’EX ขบวนที่เท่าไร ตู้ไหน ที่นั่งเท่าไรด้วย ไม่ใช่อยากจะนั่งก็นั่ง เพราะนอกจากเราอาจจะไปนั่งทับที่ชาวบ้านเขาแล้ว N’EX บางขบวนนั้นจะแยกร่างกันวิ่งไปยังสถานีที่แตกต่างกันด้วย
อย่างคันที่ผมนั่ง เมื่อถึงสถานีโตเกียว มันจะแยกร่างไปชินจูกุกับชินากาวะ ถ้าอยากรู้ว่าขบวนไหนจะมีแยกร่าง ให้ดูจากตารางรถไฟ ขบวนที่แยกร่างมันจะขึ้นซ้ำในตารางเวลาเป็นสองขบวน
ส่วนวิธีที่จะดูว่าจะไปรอรถตรงไหน สามารถดูเบอร์รถที่ตั๋ว แล้วไปยืนรอตรงพื้นที่มีตัวเลขกำกับอยู่ได้เลย รถไฟที่นี้จอดตรงตำแหน่งแน่นอนมาก ไม่เหมือนบ้านเราที่จอดเลยบ้าง ก่อนบ้าง หรือไม่เข้าสถานีแล้วเปิดประตูให้ลงเดินเลย
ใน N’EX นั้นตบแต่งให้เหมาะแก่การเป็นรถไฟสำหรับเชื่อมต่อกับสนามบินมาก มีที่นั่งใหญ่ นุ่มสบาย พร้อมปรับเองได้ มีคนมาเข็นขายเครื่องดื่มและขนม 2 เวลา และมีที่ฝากกระเป๋าด้วย เวลาใช้ก็เอาสายล็อกมาคล้องกับกระเป๋า ตั้งรหัส แล้วหมุนล็อก ง่ายดี แนะนำว่าใครกระเป๋าใหญ่ ก็จงใช้เถิด เวลาลงจากรถแน่น ๆ จะได้ไม่ลำบาก!
เจอ Tokyo Sky Tree ด้วย สามารถเห็นได้แต่ไกล เข้าใจว่าฝนเพิ่งหยุดตกไป ท้องฟ้าโล่งเลย
ผ่านตึก Sony City Osaki ด้วย ตึกนี้เป็นสำนักงานใหญ่ของ Sony ที่กำลังโดนขายทิ้งแล้วเช่าใหม่ เพื่่อเพิ่มเงินสดให้กับบริษัท
ก็จบไปแล้วสำหรับตอนแรก เดี๋ยวว่าง ๆ จะมาต่อตอนถัดไปกันครับ
Pingback: เที่ยวไต้หวัน 1 : ไป Taichung ด้วยรถไฟ Taiwan High Speed Rail | Silhouette Garden