หลังจากที่นั่ง Narita Express เพื่อมาลงที่ชินจูกุแล้ว เป้าหมายต่อไปคือการต่อรถไฟเพื่อเดินทางต่อไปยังฮาโกเน่ครับ

สำหรับการเดินทางไปฮาโกเน่จากโตเกียวนั้น หนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมเลยก็คือการนั่งรถไฟของ Odakyu ยิงตรงไปฮาโกเน่เลย ซึ่งสถานีต้นทางนั้นอยู่ที่ชินจูกุ ติดกันกับสถานีรถไฟของ JR ครับ

สำหรับผู้ที่สนใจจะไปเที่ยวฮาโกเน่ด้วยตนเอง แนะนำให้ซื้อ Hakone Free Pass เอาไว้ มันจะเป็นบัตรที่ทำให้เราสามารถขึ้นยานพาหนะทุกอย่างในฮาโกเน่โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม และถ้าซื้อตั๋วที่สถานีชินจูกุ บัตรจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายของรถไฟที่เดินทางไป – กลับโตเกียว แถมยังเป็นบัตรส่วนลดโรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในราคาเพียง 5,000 เยนเท่านั้น   มีอายุการใช้งาน 2 วัน ถ้าอยู่นานกว่านั้นก็มีแบบอายุ 3 วันขายอีกด้วย

Hakone Free Pass สามารถซื้อได้ที่เคาท์เตอร์บริการนักท่องเที่ยวของ Odakyu หรือจะกดจากตู้ขายตั๋วก็ได้

เนื่องจากมีคนจองรถไฟ Romancecar ซึ่งเป็นขบวนรถไฟด่วนเพื่อการท่องเที่ยวไว้ให้ล่วงหน้าแล้ว เวลาไปเอาตั๋ว ก็สามารถเอา Hakone Free Pass แทนค่าตั๋วได้เลย แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมส่วนของรถไฟด่วนเพิ่มเติม อีกประมาณ 800 เยน โดยทั้ง Hakone Free Pass และตั๋ว Romancecar ที่มีจองไว้ ต้องไปที่เคาท์เตอร์บริการนักท่องเที่ยวของ Odakyu ในสถานี Odakyu ที่ชินจูกุครับ

สำหรับใครที่ไม่ได้จองตั๋วล่วงหน้านาน ๆ เช่นจะซื้อตั๋วแล้วขึ้นรถเลย หรือไม่ต้องการซื้อ Hakone Free Pass ก็ไปจัดการที่เคาท์เตอร์ของ Romancecar ที่อยู่ข้าง ๆ กันได้

สำหรับ Romancecar ขบวนที่จะขึ้นในวันนี้จะเป็นรุ่น Type 50000 VSE ซึ่งเป็นรถไฟที่ออกแบบเพื่อความสะดวกในการเดินทางไปท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ตัวรถไฟเองได้รับรางวัลการออกแบบต่าง ๆ รวมทั้ง iF Design Award เมื่อปี 2007 อีกด้วย

ระหว่างนั่งรอรถไฟออก ก็เห็น Type 60000 MSE ซึ่งเป็น Romancecar รุ่นที่ใหม่ล่าสุดอยู่ข้าง ๆ กัน ถึงแม้จะเป็นรุ่นใหม่สุด ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำงานได้เงียบ แต่ MSE ถูกออกแบบเพื่อเน้นลูกค้านักธุรกิจมากกว่าการท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นในด้านของฟีเจอร์แบบจับต้องได้ VSE ก็ยังชนะใสอยู่เหมือนเดิม

รถไฟออกแล้ว สังเกตว่าข้างหน้าไม่มีห้องคนขับอยู่ ห้องคนขับของ VSE อยู่ด้านบนครับ เวลาจะขึ้นลง ก็ต้องกางบันไดลงมา อารมณ์เหมือนขึ้นลงห้องใต้หลังคา

ด้วยความที่ VSE ออกแบบมาเพื่อการท่องเที่ยว บนรถจะมีห้องน้ำและตู้เสบียงด้วย จริง ๆ แล้วเขามีบริการไปเดินไปรับออเดอร์ถึงที่นั่งเลย แต่พอดีคันผมเขาเดินมาช้า เลยเดินไปซื้อเองที่ตู้เสบียง

อาหารและเครื่องดื่มที่ขายบนนี้ หลาย ๆ อย่างจะมีขายเฉพาะบนนี้เท่านั้น หนึ่งในนั้นคือข้าวกล่องที่บรรจุในกล่องรถไฟ VSE แบบนี้ ซึ่งเวลากินเสร็จไม่ต้องคืนกล่องเขา เอากลับบ้านได้เลย

เปิดฝามา เจอผ้าเย็นผืนนึง

สำหรับอาหารข้างในก็ธรรมดา มีข้าวปั้นห่อสาหร่ายไส้ปลาป่น ข้าวปั้นห่อเต้าหู้หวาน กุ้งเทมปุระ ไส้กรอก ขาปู (อัดมั้ง) ไข่หวาน ไก่คาราอะเกะ มาแบบค่อนข้างเย็น ๆ แต่ถึงขนาดเย็น รสชาดนี้แบบว่าฟูจิ โออิชิที่ไทยยังอายกันเลยทีเดียว

นอกเหนือจากบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ว่ามา จุดเด่นของ VSE คือ กระจกของตู้หน้าสุดจะไม่มีอะไรบดบัง ทำให้เราเห็นวิวด้านหน้าได้อย่างเต็มตา ซึ่งเวลาคนจอง Romancecar ที่เป็นขบวน VSE ส่วนมากเขาก็จะแย่งกันจองตู้นี้ เพื่อจะได้ไว้ดูวิวข้างหน้าขบวนรถนี้แหละ

สวนกับ VSE อีกคันนึง ขบวนรถ Romancecar ทุกขบวน จะมีเส้นสีส้มคาดที่ด้านข้างของขบวน ซึ่งเป็นสีของขบวน Romancecar ตั้งแต่ที่ได้มีการเริ่มให้บริการมา

ด้วยขนาดบานหน้าต่างที่ใหญ่กว่ารถไฟทั่ว ๆ ไป ถึงแม้ไม่ได้นั่งหน้า แต่ยังสามารถดื่มด่ำกับวิวสองข้างทางได้อย่างเต็มตา

สำหรับคนที่สงสัยว่าชื่อ Romancecar มันมีที่มาอย่างไร ชื่อนี้มีที่มาจากที่นั่งในรูปครับ ที่นั่งในรูปที่ไม่มีที่วางแขนตรงกลาง มีศัพท์เรียกว่า romance seats หรือคนไทยจะคุ้นในชื่อ love seats กันมากกว่า เนื่องจากรถด่วนขบวนนี้จะมีแต่ที่นั่งแบบนี้ เลยเอามาตั้งชื่อขบวนรถซะเลย

ความพิเศษของเจ้าที่นั่งนี้ นอกจากมันจะเอนหลังได้แล้ว มันยังสามารถหมุนกลับไปด้านหลังได้ด้วย จะได้หันไปคุยกับคนข้างหลังได้ แถมยังมีโต๊ะพับไว้วางอาหาร เหมาะแก่กลุ่มแม่บ้านไว้นั่งจิบชา ชมวิว เมาท์มอยกันไประหว่างเดินทาง

สำหรับใครที่รู้สึกว่าที่นั่งแบบนี้มันยังหรูไม่พอ ใน VSE ยังมี Saloon Car ที่จะเป็นที่นั่งแบบหันเข้าหากัน ตบแต่งอย่างดีและแบ่งกั้นพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วนให้อีกด้วย ในขบวนจะมีทั้งหมด 3 โต๊ะ 12 ที่นั่งครับ

ในที่สุดถึงจุดหมายปลายทางที่ฮาโกเน่แล้ว โบกมือลาเจ้า Type 50000 VSE กัน

ตอนต่อไป เราจะได้เริ่มไปเที่ยวที่ฮาโกเน่กันสักทีนะครับ