หลังจากที่ออกมาจาก The Haunted Mansion แล้ว เวลาก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเย็นแล้วครับ เราก็ลุยกันใน Tokyo Disneyland ต่อ
หลังจากดู ๆ เวลากันแล้ว พวกผมก็ตัดสินใจว่าจะไม่ไปในส่วน Toontown และ Tomorrowland ที่ยังไม่ได้ไปแล้ว ก็เลยเดินไปที่ปราสาทของซินเดอเรลร่าที่เป็นจุดเด่นที่สุดของที่นี้แทน
ระหว่างทางผ่านร้าน Baby Mine ที่ขายสินค้าสำหรับเด็กทารกและเด็กเล็ก เลยแวะดูของฝากให้ลูก ๆ ของเหล่าคนที่ทำงานกัน จะว่าไปที่ Tokyo Disneyland ก็มีการจัดการดูแลเด็กเล็ก ๆ เป็นอย่างดี ทำให้เด็กเล็กร่วมมีความสุขในการเที่ยวที่นี้ได้
และก็มาถึงปราสาทของซินเดอเรลล่ากันแล้ว ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของ Cinderella’s Fairy Tale Hall และห้องรับรองแขก VIP บางทีห้องของ Club 33 จะแอบอยู่ในนี้หรือเปล่านะ
ที่นี้จะมีร้าน Glass Slipper ที่จะขายเครื่องแก้วที่ทำโดยช่างฝีมือ ซึ่งช่างฝีมือก็จะนั่งทำของต่าง ๆ ในร้านนี้นี่แหละครับ เป็นช่างฝรั่งที่มีสมาธิแน่วแน่มากจนผมไม่กล้าไปถ่ายรูปแกเลย
ว่าแล้วก็ไปเข้าคิว Cinderella’s Fairy Tale Hall ที่อยู่ในตัวปราสาท ยืนรอประมาณเกือบชม.ได้ พอถึงคิวแล้ว เราก็จะขึ้นลิฟต์เพื่อขึ้นไปข้างบนอีกที
ระหว่างรอคิว ข้างหน้าพวกผมมีครอบครัวที่ดูแล้วอายุยังไม่เยอะเท่าไร ซึ่งคุณพ่อ คุณแม่ และลูกสาววัยประมาณป.ปลาย – ม.ต้นกำลังเล่นแกล้งต่อยกันอยู่ในแถว ซึ่งดูแล้วก็อบอุ่นดี และลูกสาวก็น่ารักมากด้วย เพียงแต่พวกผมต้องคอยหลบหมัดกับตัวคนเวลาหลบหมัดเท่านั้นเอง
สำหรับข้างใน Cinderella’s Fairy Tale Hall จะมีการจัดแสดงงานฝีมือที่จำลองฉากต่าง ๆ ในเรื่อง ซึ่งแต่ละฉากจะใช้เทคนิคที่แตกต่างกัน เช่น งานกระดาษ งาน 3D อะไรแบบนี้
จากนั้นก็จะจบด้วยห้องโถงใหญ่ที่มีเก้าอี้สำหรับให้เจ้าหญิงนั่ง ซึ่งเวลานั่งก็จะมีเอฟเฟกต์ไฟด้านหลังติดเป็นประกาย และรองเท้าแก้วสำหรับให้คนมาลองใส่กันดู
สำหรับขาลงนั้นเราจะต้องเดินลงบันไดด้านนอกปราสาท ซึ่งก็จะได้เห็นวิวมุมสูงของส่วน Fantasyland ด้วย
ขากลับผ่าน StarJets ใน Tomorrowland
และผมก็นั่งพักตรงสะพานข้าง ๆ ปราสาทเพื่อวางแผนการเดินทางต่อว่าจะเอายังไงดี ระหว่างนั้นผมก็เห็นว่าข้างหน้าปราสาทมันเป็นรูปวาด ซึ่งเข้าใจว่าเขากำลังปรับปรุงส่วนด้านหน้าปราสาทกันอยู่
ตอนพวกผมเข้ามาตั้งแต่เช้าก็ไม่ได้เอะใจอะไรกันเลย เพิ่งมาเห็นเอาตอนนี้แหละ ยอมรับในฝีมือของเหล่า Imagineer จริง ๆ
ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืด ผู้คนก็เริ่มจับจองพื้นที่ข้างทางอีกครั้งเพื่อรอชมพาเหรดรอบเย็น
ทางเข้า Tomorrowland ซึ่งคงไม่ได้เข้าไปแล้ว
ขากลับน้องผมนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ซื้อถังข้าวโหดคั่วเหมือนชาวบ้านเขาเลย ก็เลยจัดจากรถเข็นแถว ๆ นั้นมาถังนึง
สำหรับลายถังและรสของข้าวโพดคั่วที่ขายอยู่ในแต่ละที่จะไม่เหมือนกัน แนะนำว่าถ้าเดินผ่านเห็นลายแล้วชอบ ก็จงรีบจัดไป จะได้ไม่ต้องย้อนไปเอาไกล
ว่าแล้วก็ขอถ่ายรูปกับรูปปั้น Walt Disney กับเจ้า Mickey Mouse ซะหน่อย
ตอนแรกพวกผมคิดว่าพอตอนเย็น ๆ แล้วคนจะลดน้อยลง แต่ไม่เลยครับ จำนวนคนยิ่งมากันเยอะกว่าเดิมมาก แต่กลุ่มคนที่มาจะเป็นแนววัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ที่มากันเป็นคู่ ๆ อารมณ์ว่ามาเดทนั้นเอง
ก่อนกลับก็แวะซื้อของฝากที่ Grand Emporium อีกรอบ คนตอนนี้เยอะกว่าตอนเช้าอีก
ว่าแล้วก็ได้เวลาอำลา Tokyo Disneyland ล่ะ ตอนออกมาจากสวนสนุก ผมเจอคนหน้าประตูถามว่าจะเข้ามาอีกไหม ผมก็เออออห่อหมกไปว่าจะกลับมาอีก เขาก็เอาตราประทับมาปั้มที่แขนให้ แต่เป็นหมึกล่องหนเลยมองไม่เห็น
สรุปคือว่าถ้าใครจะหนีไปเที่ยว Tokyo Disney Sea หรือไปกินข้าวที่ IKSPIARI แล้วกลับมาที่นี้อีกที ก็สามารถทำได้นะครับ แต่ในกรณีแรกอาจจะต้องซื้อตั๋วใหม่นะครับ ตั๋วใช้ข้ามสวนสนุกไม่ได้ ยกเว้นตั๋วแบบ 3 และ 4 วันเท่านั้นที่สามารถใช้เข้าสวนไหนก็ได้ครับ
และเราก็กลับมาที่สถานี Tokyo Disneyland เพื่อนั่งรถไฟกลับไปทื่สถานี Resort Gateway
ขากลับเพิ่งเห็นว่า เขามีขายตั๋ววันสำหรับรถไฟสาย Disney Resort เป็นลายตัวการ์ตูนของดิสนีย์ด้วย แต่ว่าคงไม่ทันแล้วแหละครับ เพราะก่อนมาพวกผมเพิ่งอัดเงินลงไปในบัตร Suica มา
เก้าอี้ในตู้รถไฟที่นั่งรอบนี้นั่งสบายกว่าตอนขามามาก เหมาะสำหรับครอบครัวที่มากันหลาย ๆ คน
รถไฟก็จะมาเราวนไปยังทาง Tokyo Disney Sea ก่อนที่จะมาส่งที่สถานี Resort Gateway
แล้วพวกผมก็เดินมาต่อรถไฟที่สถานี Maihama เพื่อกลับไปสถานีโตเกียว โดยแปลนที่วางไว้คือแวะซื้อ Tokyo Banana เพื่อมาฝากคนที่ทำงานกันก่อน แล้วก็นั่งรถต่อไปที่ชิบูย่าเพื่อหาข้าวกิน
สำหรับมื้อเย็นนี้ พวกผมก็เลือกมากินซูชิกันที่ร้าน Umegaoka Sushi no MIDORI หรือ Sushi Midori ที่เหล่าคนไทยรู้จักกันนั้นเอง ซึ่งสาขาของชิบูย่าจะอยู่ที่ตึก Shibuya Mark City ครับ
ตอนที่พวกผมไปถึงนั้นประมาณ 2 ทุ่ม 45 คิวร้านยาวเฟื่อยมาก แต่ก็เคลื่อนได้เรื่อย ๆ เหมือนตามที่คนเคยไปกินหลาย ๆ คนบอกไว้
แต่ก็มีเรื่องให้ลุ้นกันตัวโก่งคือ ตอนประมาณ 3 ทุ่มกว่า ๆ เด็กร้านเดินออกมาพร้อมป้ายที่เขียนบอกว่า รับรายการสุดท้ายประมาณ 3 ทุ่ม 40 และปิดร้าน 4 ทุ่ม 10 ถ้าพวกคุณจะรอต่อก็รอกันได้เลย แต่ถ้าไม่ทันเวลาก็อดกินนะ
ตอนนั้นข้างหน้าผม มีกลุ่มคนญี่ปุ่นเล็ก ๆ ประมาณ 2 – 3 กลุ่ม กลุ่มคนไทยใหญ่ ๆ กลุ่มนึง และมีกลุ่มคนฝรั่งเศสอีก 1 กลุ่ม ส่วนข้างหลังผมก็มีคนจีนและคนไทยกลุ่มใหญ่รออยู่
แต่สุดท้ายผมก็ได้คิวเข้าไปตอนประมาณเกือบ 3 ทุ่มครึ่ง พอได้โต๊ะ ผมรีบขอเมนูและทำการสั่งอาหารแบบรวดเดียวจบ ไม่ต้องขอเติมเลย
สำหรับเมนูแรกที่นำมาเสริฟคือ ข้าวปั่นหน้าปลาไหลย่างครับ ความอร่อยนี้เต็มร้อย ช่ำซอสหวานอร่อยมาก แต่สิ่งที่น่าตกใจของเจ้านี้คือเรื่องของขนาดของมันที่แบบว่า ยาวประมาณไม้บรรทัด 30 ซม. แบบว่ากินอันนี้คำเดียวก็จะอิ่มอยู่แล้ว
ต่อมาเป็นชุดซูชิรวมตามใจเชฟ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความหลากหลาย มีทั้งปลาทูน่า หอย กุ้ง ขาปู ปลาไหลย่าง ฯลฯ ตามในรูปแหละ ของที่ใช้ทำแบบมามีความสดมาก ๆ กุ้งนี้แบบว่าหวานจับใจกันเลยทีเดียว
สำหรับคนที่ชื่นชอบปลาทูน่าเป็นชีวิตจิตใจ ก็มีชุดซูชิทูน่ารวมมาให้ ซึ่งก็จะเป็นซูชิเนื้อปลาทูน่าในส่วนต่าง สิ่งที่ผมอยากให้สังเกตคือขนาดของมันครับ ชิ้นมันใหญ่มาก คือผมเชื่อว่าถ้ากินซูชิแบบนี้ที่กรุงเทพฯ คงต้องพลีชีพกันเลยทีเดียว
เนื่องจากวันนั้นผมเหนื่อยมาก เลยกำชับว่าชุดนี้ขอขนาดเล็กพอนะ แต่ดูเหมือนว่าเชฟจะปั้นกันเพลินหรือไงไม่ทราบ ขนาดที่ออกมามันเท่ากับซูชิชุดก่อนหน้าเลยอ่ะ จนผมต้องเรียกเขามาถามว่า “นี้ชุดเล็กแน่เหรอ” เขาก็หยิบบิลแล้วก็บอกว่า “นี้เล็กแล้ว” จนหนุ่มญี่ปุ่นกับสาวยุโรปและคุณแม่ของเธอที่นั่งกินโต๊ะข้าง ๆ หันมาแซวกันจนเป็นเรื่องฮากันในร้าน
เนื่องจากผมสั่งอาหารเป็นชุด ก็จะมีซุปมิโซะให้มา ซึ่งจะมีหอยตัวเล็ก ๆ ใส่มาให้ด้วยเป็นจำนวนมาก ตัดเลี่ยนพวกปลาดิบได้เป็นอย่างดี
แล้วก็ไข่ตุ่นครับ นุ่มมากยังกับพุดดิ้ง
สำหรับชุดตามใจเชฟจะได้สลัดมาด้วย ซึ่งผมกินแล้วก็อร่อยนะ แต่ดูธรรมดา ๆ ไปหน่อยเมื่อเทียบกับของอย่างอื่น จริง ๆ ชุดตามใจเชฟจะได้ของหวานด้วย แต่ดูเหมือนว่าพวกผมจะลืมบอกเขาไปว่าให้เอามาด้วย
โดยรวมแล้ววัตถุดิบที่ใช้นั้นสดมาก เห็นหลาย ๆ คนบอกว่าเกรดพอ ๆ กับร้านที่อยู่ในตลาดปลา และราคาจัดว่าคุ้มค่ามาก ถ้าเทียบกับร้านซูชิที่ไทยครับ ถ้ามีโอกาสก็ลองแวะกินกันดู
พอกินเสร็จแล้ว ผมก็ตัดสินใจว่าจะไปซื้อแผ่นเพลงที่ยังขาด ๆ อยู่ที่ Tower Record สาขาชิบูย่า ซึ่งก็ได้สาว ๆ OL แถวตึกที่กินข้าวบอกทางให้ พอซื้อเสร็จ พวกผมก็รีบกลับไปยังโรงแรมที่พักทันที เพราะดึกมากแล้ว เสียดายมากที่ไม่ได้ถ่ายรูปโปสเตอร์ลายเซ็น HKT48 ใน Tower Record เอาไว้ อย่างว่าความปลอดภัยต้องมาก่อนครับ
ตอนหน้า เราจะไปไหว้พระกันที่วัดเซนโซที่ย่านอาซากุสะกันครับ